ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2531 ก่อนหน้าวันแห่งความรักเพียงหนึ่งวัน ช่วงเวลานี้คนไทยทั้งประเทศกำลังส่งกำลังใจและความห่วงใยไปให้เหล่าทหารหาญที่กำลังทำศึกสงครามอยู่ตามแนวชายแดนไทย-ลาว บริเวณบ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก การรบดำเนินมาแล้วหลายวัน กองทัพบกส่งกองกำลังทั้งทหารราบ ทหารม้า และทหารปืนใหญ่จำนวนมากเข้าสู่พื้นที่การรบ เพื่อหวังชัยชนะในการรบ และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ ถึงแม้จะต้องสละชีพไปมากเพียงใดก็ตาม
เช้าวันนั้น เครื่องบินโจมตีแบบที่ 5 หรือที่รู้จักกันในนาม OV-10 จากฝูงบิน 411 กองบิน 41 เชียงใหม่ ที่บัดนี้ถูกส่งมาปฏิบัติหน้าที่ที่กองบิน 46 พิษณุโลก ได้ทำการวิ่งขึ้นเพื่อทำการลาดตระเวณและใช้อาวุธทั้งระเบิด ปืนกลอากาศ และจรวดสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นอย่างใกล้ชิดตามคำร้องขอ โดยมี น.ท. สมนึก เยี่ยมสถาน ผู้บังคับฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 411 ทำหน้าที่นักบินและ ร.อ. ไพโรจน์ เป้าประยูร รองผู้บังคับหมวดบิน 2 ฝ่ายยุทธการ ฝูงบิน 411 เป็นนักบินที่สอง ได้รับคำสั่งให้นำหมู่บิน บ.จ. 5 เข้าทำการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายภาคพื้นบริเวณบ้านนากอก ขณะที่นำหมู่บินเข้าโจมตีเป้าหมาย ด้วยการดำลงเพื่อทิ้งระเบิดและยิงจรวดตามยุทธวิธีของเจ้าม้าป่า ข้าศึกซึ่งได้เตรียมอาวุธต่อสู้อากาศยานและมีการป้องกันทางอากาศที่ดีคาดว่า ทางฝ่ายเราจะใช้การโจมตีทางอากาศเพื่อเปิดทางให้กับกองกำลังภาคพื้นรุกตามมา จึงทำการหันปืนต่อสู้อากาศยาน (ปตอ.) และจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยานประทับบ่าแบบ SA-7 หรือ SAM-7 ยิงระดมเข้าใส่เครื่องบินหัวหน้าหมู่ที่กำลังดิ่งลงมาเป็นเครื่องแรก ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลกโดยมิได้หวั่นเกรงต่ออันตรายที่จะได้รับ และความมุ่งมั่นจะปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบให้สำเร็จให้ได้ ทั้งกระสุนปืนต่อสู้อากาศยาน กระสุนปืนเล็ก รวมไปถึงจรวดต่อสู้อากาศยานระดมยิงเข้ามาที่เจ้าม้าป่า หมายเลข ทอ. บ.จ. 5-8/14 (Sel. No. 158403) ของหัวหน้าหมู่บิน น.ท. สมนึก เยี่ยมสถาน ไม่ต่างจากเวลาที่เราดูหนังสงครามหรือเล่นเกมอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่นี่คือชีวิตจริง ถ้าพลาดคือ Game Over จริงๆ ซึ่งเพียงแค่ห่ากระสุนจากข้าศึกก็ยากที่จะเอาตัวรอดแล้ว และแล้วจรวดนำวิถีด้วยความร้อนแบบประทับบ่ายิงรุ่น SA-7 ของข้าศึก ก็พุ่งเข้าปะทะกับเครื่องยนต์ด้านขวาอย่างจัง ทำให้ปีกขาดและไฟเริ่มลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เลข 13 หรือ Lucky Number กลายเป็นเลขนำโชคของข้าศึก จนมีการบันทึกว่า ได้ทำการยิง OV-10 ของไทยได้เมื่อเวลา 13.13 ของวันที่ 13 ก.พ. 2531 ปีกที่ขาดและเพลิงที่ลุกลามอย่างรวดเร็วทำให้เจ้าม้าป่าสูญเสียการทรงตัว นักบิน น.ท. สมนึก รู้สึกหน้ามืดและกำลังจะหมดสติ แต่ก็ยังสามารถกำหนดการหมุนของเจ้าม้าป่าพิการได้ว่าหมุนไปแล้ว 3 รอบ ในขณะที่หมุนและกำลังจะหมดสตินั้น น.ท. สมนึก ก็ได้ยินเสียงนักบินที่สอง ร.อ. ไพโรจน์ ตะโกนว่า "ครูโดด" ซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้ น.ท. สมนึกทำการดีดตัวออกจากเครื่องบินก่อนจะตกถึงพื้นระเบิด น.ท. สมนึก รวบรวมกำลัง ดึงสายฉุกเฉินเพื่อทำการดีดตัวออกจากเครื่อง โดยการดีดตัวของ OV-10 นั้น ถ้าหากนักบินผู้ช่วยเป็นผู้ทำการดึงสลักนิรภัย นักบินที่สองจะดีดตัวออกไปคนเดียว แต่ถ้านักบินที่หนึ่งเป็นผู้ใช้ นักบินที่สองจะถูกดีดตัวออกไปก่อน 0.4 วินาที และนักบินที่หนึ่งจะดีดตัวออกตาม นักบินทั้งสองสามารถดีดตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ตกลงในเขตแดนของข้าศึก ขณะที่เจ้าม้าป่าหมุนคว้างก่อนจะระเบิดสนั่นเขา นักบินทั้งสองถูกจับเป็นเชลยอยู่ถึง 12 วัน จนกระทั่งมีการเจรจาสงบศึกระหว่างไทย-ลาว ทำให้วีรบุรุษบ้านร่มเกล้าทั้งสองท่านได้เดินทางกลับมาประเทศไทย และมีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ ส่วนเครื่อง OV-10C ของเรานั้น ทางการลาวได้รวบรวมชิ้นส่วนไปจัดแสดงให้ประชาชนเข้าชม โดยเก็บค่าชมคนละ 10 กีบ ได้ข่าวว่า งานนี้เก็บเงินได้มากกว่าหมื่นกีบเลยทีเดียว
เครื่องบินโจมตีแบบ OV-10C Bronco ณ ฝูงบิน 411 กองบิน 41 เชียงใหม่ บ้านพักหลังสุดท้ายของม้าป่า
สุดยอดมากครับ นักบินไทย
ตอบลบชอบมากครับ มันสวยงามมากยามเหินฟ้า เหนือเชียงใหม่ สมัยนั้นครับ
ตอบลบ